เว็บนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียนที่ผมสอน หรือท่านที่สนใจ
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558
ประวัติพุทธสาวก สาวิกา และชาดก ม.2
ประวัติพุทธสาวก
พุทธสาวิกา
1. ประวัติพระสารีบุตร
พระ สารีบุตร เดิมชื่อ อุปติสสะ เป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ มารดาชื่อสารี บิดาเป็นนายบ้าน อุปติสสคาม ใกล้เมืองราชคฤห์ บิดามารดามีฐานะร่ำรวย เหตุที่ท่านได้ชื่อว่า สารีบุตร เนื่องจากเมื่อท่านบวชแล้วเพื่อนพระภิกษุด้วยกันมักเรียกท่านว่า สารีบุตร แปลว่า บุตรนางสารีตามชื่อมารดาของท่านอุปติสสะมีสหายคนหนึ่งชื่อว่า โกลิตะ เป็นบุตรของนายบ้านโกลิตคามซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน เที่ยวด้วยกันและศึกษาศิลปวิทยาร่วมกัน วันหนึ่งทั้งสองได้ไปเที่ยวชมมหรสพในเมืองเห็นความไร้สาระของมหารสพเกิดความ เบื่อหน่ายในการเสพสุขสำราญจึงปรึกษากันแล้วชวนกันพร้อมกับบริวารบวชเป็นปริ พพาชกอยู่ในสำนักสัญชัย เวลัฏฐบุตร เพื่อศึกษาธรรมแต่ยังมิได้บรรลุธรรมพิเศษเป็นที่สุดที่พอใจ จึงนัดหมายกันว่าผู้ใดได้บรรลุธรรมพิเศษก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่ผู้อื่น
ขณะ นั้นเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พระอัสสชิซึ่งเป็นองค์หนึ่งในจำนวนปัญจวัคคีย์ได้เดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าพระ พุทธเจ้าและกำลังบิณฑบาตอยู่ อุปติสสะได้พบท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงติดตามไปเมื่อพระอัสสชิฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงได้เข้าไปถามถึงข้อปฏิบัติ พระอัสสชิได้แสดงธรรมให้ฟังสั้น ๆ ว่า “สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ จะดับไปก็เพราะเหตุดับ”อุปติสสะได้ฟังเกิดดวงตาเห็นธรรม คือ เข้าใจแจ่มแจ้งสิ้นความสงสัยบรรลุโสดาบัน เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่พระเวฬุวันจึงนำธรรมที่ตนได้ฟังไปเล่า ถ่ายทอดให้โกลิตะผู้เป็นสหายฟัง โกลิตะเมื่อฟังแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน จึงไปลาอาจารย์สัญชัย พร้อมทั้งบริวารพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ขอบวชเป็นพระสาวกพร้อมทั้งบริวาร พระพุทธเจ้าประทานบวชให้ทั้งหมด เมื่อบวชแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอบรม บริวารทั้งหมดได้สำเร็จอรหันต์ก่อน ส่วนอุปติสสะ ได้บำเพ็ญธรรมต่อมาอีก 15 วันจึงได้สำเร็จอรหันต์พระสารีบุตรได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในทางปัญญา เป็นผู้มีคุณธรรมดีเด่นด้านปัญญา เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาพระสารีบุตรนิพพานวันเพ็ญกลางเดือน 12 นิพพานก่อนพระโมคคัลลานะ 15 วัน และก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ 7 เดือน ก่อนนิพพานท่านได้เทศนากล่อมเกลาจิตใจของบิดามารดาจของท่านให้กลับใจมา นับถือพระพุทธศาสนาจนเป็นผลสำเร็จ
พระ สารีบุตร เดิมชื่อ อุปติสสะ เป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ มารดาชื่อสารี บิดาเป็นนายบ้าน อุปติสสคาม ใกล้เมืองราชคฤห์ บิดามารดามีฐานะร่ำรวย เหตุที่ท่านได้ชื่อว่า สารีบุตร เนื่องจากเมื่อท่านบวชแล้วเพื่อนพระภิกษุด้วยกันมักเรียกท่านว่า สารีบุตร แปลว่า บุตรนางสารีตามชื่อมารดาของท่านอุปติสสะมีสหายคนหนึ่งชื่อว่า โกลิตะ เป็นบุตรของนายบ้านโกลิตคามซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน เที่ยวด้วยกันและศึกษาศิลปวิทยาร่วมกัน วันหนึ่งทั้งสองได้ไปเที่ยวชมมหรสพในเมืองเห็นความไร้สาระของมหารสพเกิดความ เบื่อหน่ายในการเสพสุขสำราญจึงปรึกษากันแล้วชวนกันพร้อมกับบริวารบวชเป็นปริ พพาชกอยู่ในสำนักสัญชัย เวลัฏฐบุตร เพื่อศึกษาธรรมแต่ยังมิได้บรรลุธรรมพิเศษเป็นที่สุดที่พอใจ จึงนัดหมายกันว่าผู้ใดได้บรรลุธรรมพิเศษก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่ผู้อื่น
ขณะ นั้นเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พระอัสสชิซึ่งเป็นองค์หนึ่งในจำนวนปัญจวัคคีย์ได้เดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าพระ พุทธเจ้าและกำลังบิณฑบาตอยู่ อุปติสสะได้พบท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงติดตามไปเมื่อพระอัสสชิฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงได้เข้าไปถามถึงข้อปฏิบัติ พระอัสสชิได้แสดงธรรมให้ฟังสั้น ๆ ว่า “สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ จะดับไปก็เพราะเหตุดับ”อุปติสสะได้ฟังเกิดดวงตาเห็นธรรม คือ เข้าใจแจ่มแจ้งสิ้นความสงสัยบรรลุโสดาบัน เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่พระเวฬุวันจึงนำธรรมที่ตนได้ฟังไปเล่า ถ่ายทอดให้โกลิตะผู้เป็นสหายฟัง โกลิตะเมื่อฟังแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน จึงไปลาอาจารย์สัญชัย พร้อมทั้งบริวารพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ขอบวชเป็นพระสาวกพร้อมทั้งบริวาร พระพุทธเจ้าประทานบวชให้ทั้งหมด เมื่อบวชแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอบรม บริวารทั้งหมดได้สำเร็จอรหันต์ก่อน ส่วนอุปติสสะ ได้บำเพ็ญธรรมต่อมาอีก 15 วันจึงได้สำเร็จอรหันต์พระสารีบุตรได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในทางปัญญา เป็นผู้มีคุณธรรมดีเด่นด้านปัญญา เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาพระสารีบุตรนิพพานวันเพ็ญกลางเดือน 12 นิพพานก่อนพระโมคคัลลานะ 15 วัน และก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ 7 เดือน ก่อนนิพพานท่านได้เทศนากล่อมเกลาจิตใจของบิดามารดาจของท่านให้กลับใจมา นับถือพระพุทธศาสนาจนเป็นผลสำเร็จ
2. คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นผู้มีปัญญาเลิศ สามารถ เข้าใจพระธรรมคำสอนของพรพุทธเจ้าได้อย่างลึกซึ้งและอธิบายให้คนอื่นฟังได้ อย่างดียิ่ง แม้เรื่องยากเพียงไรก็ตาม ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อมีพระสงฆ์สาวกจะทูลลาไปต่างเมือง พระพุทธเจ้ามักตรัสให้ไปลาและรับฟังโอวาทจากพระสารีบุตรด้วย
2. เป็นผู้มีขันติเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยมไม่คิดร้ายใคร ไม่โกรธหรือคิดตอบโต้ใคร ๆ เช่น ท่านถูกพราหมณ์คนหนึ่งซึ่งทราบว่า ท่านไม่โกรธและมีความอดทน ย่องไปทุบข้างหลังจนท่านเซไปข้างหน้า ท่านก็ไม่เหลียวมอง ทำให้พราหมณ์เกิดความสำนึกผิดและขอขมาท่าน
3. เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ พระ สารีบุตรเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ท่านนับถือพระอัสสชิเป็นพระอาจารย์องค์แรกของท่าน เมื่อรู้ว่าพระอัสสชิอยู่ในทิศใด เวลาจะนอนท่านจะหันศีรษะไปทางทิศนั้น นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ยอดกตัญญูรู้คุณแม้เพียงเพราะพรามหณ์แก่ชื่อว่าราธะซึ่งเคย ตักข้าวใส่บาตรท่านทัพพีท่านก็จำได้และเมื่อราธพราหมณ์ประสงค์จะบวชแต่ไม่มี ใครรับรองให้บวช
ท่านก็กราบทูลพระพุทธเจ้าขอรับหน้าที่บวชให้
4.เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พระสารีบุตร เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ถึงแม้จะได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่ามีปัญญาเทียบเท่าพระองค์ ท่านก็ไม่เคยลืมตนท่านอ่อนโยนต่อทุกคน ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวท่านจึงเป็นที่รักของเพื่อนพระสาวกด้วยกันเป็นอย่าง มาก
1. เป็นผู้มีปัญญาเลิศ สามารถ เข้าใจพระธรรมคำสอนของพรพุทธเจ้าได้อย่างลึกซึ้งและอธิบายให้คนอื่นฟังได้ อย่างดียิ่ง แม้เรื่องยากเพียงไรก็ตาม ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อมีพระสงฆ์สาวกจะทูลลาไปต่างเมือง พระพุทธเจ้ามักตรัสให้ไปลาและรับฟังโอวาทจากพระสารีบุตรด้วย
2. เป็นผู้มีขันติเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยมไม่คิดร้ายใคร ไม่โกรธหรือคิดตอบโต้ใคร ๆ เช่น ท่านถูกพราหมณ์คนหนึ่งซึ่งทราบว่า ท่านไม่โกรธและมีความอดทน ย่องไปทุบข้างหลังจนท่านเซไปข้างหน้า ท่านก็ไม่เหลียวมอง ทำให้พราหมณ์เกิดความสำนึกผิดและขอขมาท่าน
3. เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ พระ สารีบุตรเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ท่านนับถือพระอัสสชิเป็นพระอาจารย์องค์แรกของท่าน เมื่อรู้ว่าพระอัสสชิอยู่ในทิศใด เวลาจะนอนท่านจะหันศีรษะไปทางทิศนั้น นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ยอดกตัญญูรู้คุณแม้เพียงเพราะพรามหณ์แก่ชื่อว่าราธะซึ่งเคย ตักข้าวใส่บาตรท่านทัพพีท่านก็จำได้และเมื่อราธพราหมณ์ประสงค์จะบวชแต่ไม่มี ใครรับรองให้บวช
ท่านก็กราบทูลพระพุทธเจ้าขอรับหน้าที่บวชให้
4.เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พระสารีบุตร เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ถึงแม้จะได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่ามีปัญญาเทียบเท่าพระองค์ ท่านก็ไม่เคยลืมตนท่านอ่อนโยนต่อทุกคน ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวท่านจึงเป็นที่รักของเพื่อนพระสาวกด้วยกันเป็นอย่าง มาก
2.
ประวัติพระโมคคัลลานะ
พระโมคคัลลานะ เดิมชื่อ โกลิตะ เป็นบุตรของนายโกลิตะคาม
ชื่อโกลิตะเช่นเดียวกับท่าน มารดาชื่อนางโมคคัลลีเมื่อบวชแล้วพระสงฆ์เรียกท่านในนามมารดาว่า
โมคคัลลานะ ท่านเป็นสหายที่สนิทกันกับอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ได้บวชพร้อมกับพระสารีบุตร
บวชแล้วได้สำเร็จอรหันต์ก่อนพระสารีบุตร 7 วันพระโมคคัลลานะ
นับแต่อุปสมบทได้ 7 วัน ไปทำความเพียรที่หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม
แคว้นมคธ เกิดความโงกง่วงเข้าครอบงำพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่นั่นและทรงแสดงวิธีแก้ความ
ง่วง พร้อมกับประทานโอวาทว่าด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นให้ใช้ปัญญาพิจารณาเวทนา ทั้งหลายว่า
เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอนท่านได้ปฏิบัติตามโอวาทที่ทรงสั่งสอนก็ได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นนั่นเองพระโมคคัลลานะ
ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในทางมีฤทธิ์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า
คู่กับพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ท่านเป็นที่เกรงขามของคนอื่น พูดอะไรคนมักเชื่อฟัง
เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา ทำหน้าที่ในการปกครอง
ดูแลพระภิกษุที่ประพฤติมิชอบ นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในงานก่อสร้าง เช่น คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าได้มอบหมายให้ท่านควบคุมงานก่อสร้างโลหะปราสาทที่นาง
วิสาขาสร้างถวายจนเสร็จสมบูรณ์พระโมคคัลลานะ นิพพานที่ตำบลกาฬศิลา เหตุที่นิพพาน
เนื่องจากถูกลัทธิตรงข้ามกับพระพุทธศาสนา เกิดความอิจฉาริษยาเกรงวาเมื่อท่านยังอยู่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญ
รุ่งเรืองยิ่งขึ้น จึงจ้างพวกโจรทุบตีท่าน แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ เพราะท่านรู้ตัวและหลบหนีไปก่อนถึงสองครั้ง
พอครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่าคงกรรมเก่า จึงไม่ได้หลบหนีไปไหน พวกโจรก็ทุบตีท่านจนกระดูกแตกละเอียดและเข้าใจว่าท่านตายแล้ว
จึงนำไปทิ้งไว้ที่พุ่มไม้แล้วพากันหลบหนีไป ท่านได้พยายามรักษาร่างกายและไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลลานิพพานแล้วกลับมา
นิพพาน ณ จุดเดิม พระโมคคัลลานะนิพพานเมื่อวันสิ้นเดือน 12 ภายหลังพระสารีบุตรนิพพานได้
15 วัน
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นผู้มีฤทธิ์มาก หมายถึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เพราะพระโมคคัลลานะได้ผ่านการบำเพ็ญสมาธิอย่างเชี่ยวชาญ ทำให้สามารถใช้ฤทธิ์ปราบปรามคนชั่ว คนดุร้าย สามารถชักจูงให้เขาเหล่านั้นละการประพฤติชั่วหันกลับมาถือศีลปฏิบัติธรรมกัน มากขึ้น
2. เป็นผู้มีกุศโลบายในการสอนคน เนื่อง จากพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่ได้ใช้ฤทธิ์พร่ำเพรื่อ ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้ท่านถึงจะใช้ฤทธิ์นั้นเป็นเครื่องมือหรือ อุปกรณ์ในการสอนคนและปราบคนชั่วให้เป็นผู้หันมานับถือพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถพิเศษเหนือสาวกอื่น ๆ ในด้านการชี้แจงให้พุทธบริษัทเห็นบาปบุญคุณโทษได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นผู้มีฤทธิ์มาก หมายถึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เพราะพระโมคคัลลานะได้ผ่านการบำเพ็ญสมาธิอย่างเชี่ยวชาญ ทำให้สามารถใช้ฤทธิ์ปราบปรามคนชั่ว คนดุร้าย สามารถชักจูงให้เขาเหล่านั้นละการประพฤติชั่วหันกลับมาถือศีลปฏิบัติธรรมกัน มากขึ้น
2. เป็นผู้มีกุศโลบายในการสอนคน เนื่อง จากพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่ได้ใช้ฤทธิ์พร่ำเพรื่อ ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้ท่านถึงจะใช้ฤทธิ์นั้นเป็นเครื่องมือหรือ อุปกรณ์ในการสอนคนและปราบคนชั่วให้เป็นผู้หันมานับถือพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถพิเศษเหนือสาวกอื่น ๆ ในด้านการชี้แจงให้พุทธบริษัทเห็นบาปบุญคุณโทษได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
3.
ประวัตินางขุชชุตตรา
นางขุชชุตตรา เป็นสตรีรูปค่อม เป็นธิดาของแม่นมของโฆษกเศรษฐีผู้เป็นบิดาเลี้ยงของพระนางสามาวดีซึ่งต่อมา
ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน กษัตริย์กรุงโกสัมภีนางขุชชุตตราได้รับมอบหมายจากเศรษฐีให้เป็นหญิงรับใช้
ประจำตัวของพระนางสามาวดีตั้งแต่ยังสาว ต่อมาเมื่อพระนางได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทนและเข้าไปอยู่ในราชสำนัก
แล้วนางขุชชุตตราก็ได้ติดตามไปรับใช้ด้วยพระเจ้าอุเทนพระราชทานเงินค่า ดอกไม้แก่พระนางสามาวดีวันละ
8 กหาปณะ ซึ่งพระนางได้มอบหมายให้นางขุชชุตตราเป็นผู้จัดซื้อดอกไม้
และนางขุชชุตตราก็ได้ยักยอกเงินค่าดอกไม้วันละ 4 กหาปณะ
ซื้อมาเพียง 4กหาปณะเท่านั้นเป็นประจำทุกวันวันหนึ่ง คนขายดอกไม้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เมื่อนางขุชชุตตราได้ช่วยจัดเตรียมภัตตาหารถวายและได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระ
พุทธเจ้าก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล วันนั้นนางได้ซื้อดอกไม้ทั้ง 8 กหาปณะมาถวายพระนางสามาวดี ทำให้พระนางสามาวดีเกิดความสงสัยจึงซักถาม นางขุชชุตตราก็ได้รับสารภาพ
และเล่าเรื่องที่ตนได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าจนเข้าใจแจ่มแจ้งและ บรรลุโสดาปัตติผลแล้วพระนางสามาวดีมีความสนพระทัยใคร่อยากฟังธรรมที่นาง
ขุชชุตตราได้ฟังแล้ว จึงให้นางขุชชุตตราอาบน้ำแต่งตัวอย่างดี ปูอาสนะให้นั่งแสดงธรรมแก่พระนางและหญิงบริวารดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
เมื่อจบการแสดงธรรม หญิงเหล่านั้นทั้งหมดบรรลุโสดาปัตติผล พระนางจึงแสดงคารวะและตรัสให้นางขุชชุตตราไม่ต้องทำงานอีกต่อไป
ให้นางอยู่ ในฐานะเป็นผู้นำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแสดงทุกวันซึ่งนางก็ได้ปฏิบัติเป็น
ประจำ ทำให้นางเป็นผู้มีความแตกฉานในธรรมมีความเชี่ยวชาญในธรรมเป็นอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงยกย่องนางขุชชุตตราว่า”เป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้เป็นธรรมกถึก คือ " ผู้แสดงธรรม
"
คุณธรรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1. มีความเพียรช่วยเหลือตนเอง แม้ร่างกายจะพิการ คือ หลังค่อม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต ประกอบการงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง
2. เป็นฝึกฝนตนเอง ถึงแม้ว่านางขุชชุตตราจะยักยอกค่าดอกไม้เป็นประจำทุกวันก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมีความสำนึกผิด ละเว้นในสิ่งไม่ดีที่ได้กระทำและตั้งมั่นอยู่ในความดีได้ในที่สุด
3. เป็นผู้มีปัญญามาก เอาใจใส่จดจำพระธรรมคำสอนและนำมาถ่ายทอดได้อย่างเชี่ยวชาญ จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในการเทศน์สอนคนอื่น
คุณธรรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1. มีความเพียรช่วยเหลือตนเอง แม้ร่างกายจะพิการ คือ หลังค่อม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต ประกอบการงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง
2. เป็นฝึกฝนตนเอง ถึงแม้ว่านางขุชชุตตราจะยักยอกค่าดอกไม้เป็นประจำทุกวันก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมีความสำนึกผิด ละเว้นในสิ่งไม่ดีที่ได้กระทำและตั้งมั่นอยู่ในความดีได้ในที่สุด
3. เป็นผู้มีปัญญามาก เอาใจใส่จดจำพระธรรมคำสอนและนำมาถ่ายทอดได้อย่างเชี่ยวชาญ จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในการเทศน์สอนคนอื่น
ศาสนิกชนตัวอย่าง
1.
พระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ มีเมืองหลวงชื่อกรุงราชคฤห์ มีพระมเหสีทรงพระนามว่า
เวเทหิ มีพระโอรส ๑ พระองค์ทรงพระนามว่า อชาตศัตรูเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ
ได้เสด็จออกบรรพชา ได้เสด็จมาพักที่เชิงเขาปัณฑวะ แคว้นมคธ
ขณะนั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว ได้เสด็จไปพบ
ทรงพอพระทัยในบุคลิกลักษณะของพระสิทธัตถะเป็นอย่างมาก และได้ทูลเชิญให้ครองราชสมบัติครึ่งหนึ่งแห่งแคว้นมคธ
ซึ่งพระสิทธัตถะ ได้ตอบปฏิเสธและชี้แจงถึงจุดมุ่งหมายในการออกบวช พระเจ้าพิมพิสารจึงได้ทรงขอร้องว่า
เมื่อทรงสำเร็จธรรมที่ปรารถนาแล้วขอให้เสด็จกลับมายังกรุงราชคฤห์เพื่อโปรด พระองค์บ้าง
เมื่อพระสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและ ได้ทรงเสด็จไปเผยแพร่ประกาศพระศาสนาแล้ว ได้เสด็จไปยังแคว้นมคธ ได้ประทับอยู่ที่
ลัฏฐิวัน ชานเมืองราชคฤห์พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว ได้เสด็จไปเฝ้าพร้อมกับข้าราชบริพารและชาวเมืองเป็นจำนวนมากพระพุทธเจ้าทรง แสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารพร้อมทั้งข้าราชบริพารพร้อมชาวเมือง หลังจบพระธรรมเทศนาพระเจ้าพิมพิสารได้สำเร็จมรรคผลชั้นโสดาบันทรงประกาศ พระองค์เป็นอุบาสกนับถือพระพุทธเจ้าพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลถึงความ ปรารถนาของพระองค์5 ประการ
แก่พระพุทธเจ้าและความปรารถนาทั้ง 5 ประการนั้น ได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วในวันนี้ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสาร 5 ประการ
1. ขอให้ได้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ
2. ขอให้พระอรหันต์ได้มาสู่แคว้นของพระองค์
3. ขอให้พระองค์ได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์
4. ขอให้พระอรหันต์ได้แสดงธรรมแก่พระองค์
5. ขอให้พระองค์ได้รู้ธรรมของพระอรหันต์
พระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์เสด็จไปรับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น
ซึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงรับอาราธนาในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์พุทธสาวก ได้เสด็จไปทรงรับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร หลังจากเสร็จจากภัตตกิจแล้วพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลถวายอุทยานเวฬุวัน ซึ่งเป็นสวนหลวงแด่พระพุทธเจ้าสำหรับใช้เป็นสถานที่ประทับ พระพุทธเจ้าทรงรับไว้ เพราะฉะนั้น เวฬุวัน หรือสวนไม้ไผ่จึงเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาพระเจ้าพิมพิสารทรงเป็น พุทธมามกะ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนาจนตลอดพระชนม์ชีพ
เมื่อพระสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและ ได้ทรงเสด็จไปเผยแพร่ประกาศพระศาสนาแล้ว ได้เสด็จไปยังแคว้นมคธ ได้ประทับอยู่ที่
ลัฏฐิวัน ชานเมืองราชคฤห์พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว ได้เสด็จไปเฝ้าพร้อมกับข้าราชบริพารและชาวเมืองเป็นจำนวนมากพระพุทธเจ้าทรง แสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารพร้อมทั้งข้าราชบริพารพร้อมชาวเมือง หลังจบพระธรรมเทศนาพระเจ้าพิมพิสารได้สำเร็จมรรคผลชั้นโสดาบันทรงประกาศ พระองค์เป็นอุบาสกนับถือพระพุทธเจ้าพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลถึงความ ปรารถนาของพระองค์5 ประการ
แก่พระพุทธเจ้าและความปรารถนาทั้ง 5 ประการนั้น ได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วในวันนี้ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสาร 5 ประการ
1. ขอให้ได้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ
2. ขอให้พระอรหันต์ได้มาสู่แคว้นของพระองค์
3. ขอให้พระองค์ได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์
4. ขอให้พระอรหันต์ได้แสดงธรรมแก่พระองค์
5. ขอให้พระองค์ได้รู้ธรรมของพระอรหันต์
พระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์เสด็จไปรับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น
ซึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงรับอาราธนาในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์พุทธสาวก ได้เสด็จไปทรงรับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร หลังจากเสร็จจากภัตตกิจแล้วพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลถวายอุทยานเวฬุวัน ซึ่งเป็นสวนหลวงแด่พระพุทธเจ้าสำหรับใช้เป็นสถานที่ประทับ พระพุทธเจ้าทรงรับไว้ เพราะฉะนั้น เวฬุวัน หรือสวนไม้ไผ่จึงเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาพระเจ้าพิมพิสารทรงเป็น พุทธมามกะ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนาจนตลอดพระชนม์ชีพ
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1. ทรงมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะ เห็นได้จากเมื่อพระองค์เสด็จไปพบพระสิทธัตถะ พระองค์ได้ทูลเชิญให้พระสิทธัตถะอยู่ครองราชสมบัติครึ่งหนึ่งแห่งแคว้นมคธ โดยมิทรงหวงแหนหรือตระหนี่แต่ประการใด
2. ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้จากเมื่อพระองค์สดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงแล้ว ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ประกาศตนเป็นอุบาสก นับได้ว่าพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่ประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นพระองค์แรก
3. ทรงเอาพระทัยใส่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารทรงดำริว่าสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์ที่ อุทยานลัฏฐิวันนั้น คับแคบไม่เพียงพอเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์หมู่มาก พระองค์จึงได้ถวายพระอุทยานเวฬุวันเป็นสถานที่ประทับแห่งใหม่และพระเวฬุวัน จึงได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาด้วย
1. ทรงมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะ เห็นได้จากเมื่อพระองค์เสด็จไปพบพระสิทธัตถะ พระองค์ได้ทูลเชิญให้พระสิทธัตถะอยู่ครองราชสมบัติครึ่งหนึ่งแห่งแคว้นมคธ โดยมิทรงหวงแหนหรือตระหนี่แต่ประการใด
2. ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้จากเมื่อพระองค์สดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงแล้ว ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ประกาศตนเป็นอุบาสก นับได้ว่าพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่ประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นพระองค์แรก
3. ทรงเอาพระทัยใส่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารทรงดำริว่าสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์ที่ อุทยานลัฏฐิวันนั้น คับแคบไม่เพียงพอเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์หมู่มาก พระองค์จึงได้ถวายพระอุทยานเวฬุวันเป็นสถานที่ประทับแห่งใหม่และพระเวฬุวัน จึงได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาด้วย
ชาดก
1.
มิตตวินทุกชาดก
เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภถึงพระภิกษุซึ่งเป็นผู้ว่ายากรูปหนึ่ง
ทรงตรัสเรื่องนี้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าที่ชื่อว่า
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ความมีอยู่ว่า
นายมิตตวินทุกะถูกจักรพัดอยู่บนศีรษะตลอดเวลา จึงได้รับความทุกข์ทรมานมาก
ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้เดินผ่านมา นายมิตตวินทุกะ จึงถามว่า“ข้าแด่พระองค์ ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้แก่เทวดา ข้าพเจ้าได้กระทำความชั่วอะไร
จักรนี้ได้จรดที่ศีรษะแล้วพัดผันอยู่บนกระหม่อมของข้าพเจ้า”พระโพธิสัตว์
ตรัสว่า“เพราะเหตุใดเล่า ท่านผ่านทั้งปราสาทแก้วผลึก
ปราสาทเงิน ปราสาทแก้วมณี และปราสาททองมาแล้วจึงมาถึงณที่นี่ได้”นายมิตตวิทุกะกล่าวว่า“ขอพระองค์ท่าน จงดูข้าพเจ้าผู้มีความหายนะเนื่องเพราะสำคัญว่าที่นี่มีโภคทรัพย์สมบัติมาก
มายกว่าปราสาททั้ง 4 หลังที่กล่าวมานี้”พระโพธิสัตว์ จึงตรัสตอบว่า “เนื่องเพราะท่านมีความปรารถนามากเกินไป
ได้ครอบครองนารี ๔ นาง ไม่พอใจทั้ง ๔ นางได้ครอบครองนารีทั้ง ๘ นาง ไม่พอใจทั้ง ๘
นาง ได้ครอบครองนารีทั้ง ๑๖ นาง ไม่พอใจทั้ง ๑๖ นางได้ครอบครองทั้ง ๓๒ นาง
ไม่พอใจทั้ง ๓๒ นาง ท่านจึงได้ประสบกับจักรที่พัดอยู่บนศีรษะของท่าน
เพราะถูกความโลภ ความปรารถนาที่มากเกินไป “ พระพุทธองค์จึงตรัสสั่งสอนว่า
“ขึ้นชื่อว่าความอยาก มีสภาพแผ่ไปยิ่งใหญ่ไพศาล ทำให้เต็มได้ยาก
(ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด)
หากชนเหล่าใดตกอยู่ภายใต้อำนาจของความอยากแล้ว ก็ยากที่จะถอนตัวออกได้ง่าย ๆ
เหมือนกับท่านในปัจจุบันนี้ ต้องเทินจักรไว้อยู่บนศีรษะตลอดเวลา”พระโพธิสัตว์ตรัสเช่นนี้แล้ว ก็เสด็จสู่เทวสถานแห่งตนทันที
ฝ่ายมิตตวินทุกะ ก็ยังคงมีจักรพัดอยู่บนศีรษะอยู่ตลอดเวลา และได้รับความทุกขเวทนาหนักเรื่อยไป
จนกว่าบาปกรรมที่กระทำไว้จะหมดสิ้นไป
การที่นายมิตตวินทุกะ ได้รับกรรมเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยความโลภ ความปรารถนา และความอยากไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง
การที่นายมิตตวินทุกะ ได้รับกรรมเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยความโลภ ความปรารถนา และความอยากไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง
2.
ราโชวาทชาดก
พระราโชวาท คือ คำสอนของพระมหากษัตริย์นั้นปรากฏในเตสกุณชาดก ความว่า ณวันหนึ่งพระเจ้าโกศลทรงตัดสินคดีเรื่องหนึ่งแต่ไม่สำเร็จเพราะเป็นคดี
เกี่ยวกับความเอียง (อคติ) จึงตัดสินยาก หลังจากตัดสินเรียบร้อยแล้ว จึงเสวยพระกระยาหารเช้า
จากนั้นจึงทรงเสด็จขึ้น
ราชรถ ไปสู่สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงย่อพระกายลง ณ ที่ใกล้พระบาท แล้วถวายบังคมพระพุทธองค์ต่อจากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระเจ้าโกศลว่า “ขอถวายพระพรมหากษัตริย์ พระองค์จะเสด็จไปไหน จึงมาถึงที่นี่แต่กลางวัน”พระเจ้าโกศลกราบทูลว่า
”ข้าพระพุทธเจ้าวันนี้ หม่อมฉันกำลังตัดสินคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความลำเอียง ยากที่จะตัดสินได้บัดนี้การพิจารณาคดีได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว จึงเสด็จมายังสำนักพระองค์ “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า”ขอถวายพระพรแก่พระมหากษัตริย์ เชื่อว่าการตัดสินคดีโดยให้เสมอกัน (ไม่ลำเอียง) เป็นกุศลอย่างแท้จริง” หลังจากนั้นพระเจ้าโกศลทูลขอให้พระองค์ทรงเล่านิทานในอดีตที่ผ่านมา พระพุทธองค์จึงเล่าดังนี้คือ
ครั้งหนึ่งพระเจ้าพรหมทัต ได้เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตไดัรับพระราช ทานเครื่องบำรุงครรภ์เป็นอย่างดี เมื่อครบกำหนดก็ประสูติจากพระครรภ์มารดาโดยปลอดภัย พระองค์ได้รับขนานพระนาม (ตั้งชื่อ) ว่า”พรหมทัตกุมาร” เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษาจึงได้เสด็จไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกศิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคต จึงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติและประพฤติปฏิบัติตนโดยชอบธรรมอยู่สม่ำเสมอและ เมื่อมีการสั่งการตัดสินคดีก็มิได้ลำเอียงแต่อย่างใด ตัดสินด้วยความเที่ยงตรง เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติเป็นธรรมเช่นนี้จึงส่งผลให้พวกอำมาตย์ก็ได้ตัดสิน สำนวนคดีโดยชอบธรรมเช่นกัน เมื่อสำนวนคดีทั้งหลายได้รักการตัดสินโดยเป็นธรรม ขึ้นชื่อว่าคดีที่มีเงื่อนงำบิดพริ้วกัน จึงไม่มี ดังนั้นการถวายฎีการ้องทุกข์ที่พระลานหลวงเพื่อประโยชน์ในทางคดีจึงหมดไป พวกอำมาตย์นั่งคอยอยู่ที่ศาลวันยังค่ำก็ไม่พบผู้ใดผู้หนึ่งจะมาให้ตัดสินคดี ฎีการ้องทุกข์ก็หมดไป ศาลก็ถึงภาวะเป็นที่ร้าง พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เมื่อเราเสวยราชสมบัติอยู่โดยชอบธรรม กลับไม่มีผู้คนมาให้ตัดสินคดี ฎีกา ร้องทุกข์ก็หมด ศาลก็ถึงภาวะที่ร้าง บัดนี้ควรที่จะตรวจดูสิ่งที่ไม่เป็นคุณประโยชน์แก่ตน ครั้นรู้ว่า ชื่อว่าสิ่งนี้ไม่เป็นคุณ เป็นโทษแก่ตนก็ละเสีย แล้วประพฤติแต่สิ่งที่เป็นคุณและเป็นประโยชน์เท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์คอยสืบดูว่ามีใครบ้างไหม ที่พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่เรา ทั้งข้าทาสบริวารที่อยู่ใกล้ชิด ข้าทาสบริวารทั่ว ๆไปชาวหมู่บ้านที่อยู่รอบตัวเมืองก็ไม่พบว่ามีใครพูดสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ พระองค์เลยมีแต่การสรรเสริญในสิ่งที่พระองค์กระทำ จึงมอบหมายราชการให้พวกอำมาตย์ แล้วจึงปลอมพระองค์ไม่ให้ใครรู้จักเสด็จขึ้นราชรถพร้อมกับนายสารถีเสด็จออก จากกพระนคร เพื่อสืบดูตามชนบท แต่ก็ไม่พบใคร ๆ พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นคุณต่อพระองค์เลย จึงเสด็จกลับจากพรมแดนบ่ายพระพักตร์เข้าสู่พระนครตามถนนใหญ่
ในกาลครั้งนั้น ฝ่ายพระเจ้าโกศล ทรงพระนามว่าพัลลิกะ เสวยราชสมบัติอยู่โดยธรรม ก็ทรงแสวงหาสิ่งที่ไม่เป็นคุณ มิได้พบผู้
ที่ กล่าวถึงสิ่งที่ไม่เป็นคุณ แต่อย่างใด จึงทรงพระประสงค์จะสืบดูตามชนบทอยู่เช่นเดียวกัน และได้เสด็จถึงประเทศแห่งนั้น ท้าวเธอทั้งสองพระองค์ ได้สวนกันที่ทางเกวียน ณ ที่เนินแห่งหนึ่ง ที่ ๆ เป็นถนนแคบ รถไม่สามารถจะวิ่งสวนกันได้ จะต้องหลีกหลบอยู่คันหนึ่ง ลำดับนั้นนายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงบอกนายสารถีของพระเจ้าพาราณสีว่า ”ท่านจงหลีกรถของท่านออกไป” ฝ่ายสารถีของพระเจ้าพาราณสีก็กล่าวว่า”ท่านสารถีผู้เจริญ ท่านจงหลีกรถของท่านออกไป พระเจ้าพรหมทัตมหาราชผู้เป็นเจ้าของราชสมบัติ ณ พาราณสี ประทับนั่งบนรถคันนี้” ฝ่ายสารถีพระเจ้าพัลลิกะกล่าวว่า “ท่านสารถีผู้เจริญ พระเจ้าพัลลิกะมหาราช ผู้เป็นเจ้าของราชสมบัติ ณ โกศล ประทับนั่งบนรถนี้ ท่านจึงเอารถของท่านหลีกออกไป ให้โอกาสแก่รถของพระราชาพวกเราเถิด” สารถีพระเจ้าพาราณสีนึกในใจว่า ได้ยินว่า แม้ท่านผู้นี้ก็เป็นพระราชาเหมือนกันจะทำอย่างไรดี คิดขึ้นได้ว่า ยังมีอุบายอยู่อย่างหนึ่งตกลงใจว่า เราจักถามวัยดูแล้ว ให้รถของพระราชาผู้ทรงพระชนมายุอ่อนหลีกทาง ให้โอกาสแก่รถของพระราชาผู้ทรงพระชนมายุแก่กว่า จึงถามวัยของพระเจ้าโกศลกับนายสารถี กำหนดดูรู้ว่าทั้งสองพระองค์ครอบครองราชอาณาจักรองค์ละสามร้อยโยชน์ มีพล ทรัพย์ ยศ ชาติโคตร ตระกูล ประเทศเท่า ๆ กัน จึงคิดว่า เราจักยอมยกให้โอกาสแก่พระองค์ที่มีศีล จึงถามว่า ท่านสารถีผู้เจริญ ศีลาจารของพระราชาของพวกท่าน เป็นเช่นไร นายสารถีพระเจ้าพัลลิกะ จึงกล่าวอวดพระเกียรติคุณพระราชาของตนว่า“พระเจ้าพัลลิกะทรงขจัดคนกระด้าง ด้วยความกระด้าง ทรงชนะคนอ่อนโยนด้วยความอ่อนโยนทรงชนะคนดีด้วยความดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดีพระราชาองค์นี้เป็นเช่นนี้ สารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด”นายสารถีของพระเจ้าพาราณสีจึงกล่าวตอบ ถึงพระเกียรติคุณของพระราชาของตนว่า“พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดีทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วย คำสัตย์พระราชาองค์นี้เป็นเช่นนี้ นายสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด”เมื่อสารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวเช่น นี้แล้ว พระเจ้าพัลลิกะและสารถี ลงจากรถปลดม้าถอยรถออก ยอมให้ทางแก่พระเจ้าพาราณสีทั้งสองพระองค์เมื่อเสด็จกลับถึงพระนคร ก็ทรงทำบุญกุศลและได้ทรงบำเพ็ญทางสวรรค์ไว้ครบริบูรณ์แล้วถึงกาลสมัยสิ้นพระ ชนมายุทั้งสองพระองค์
ราชรถ ไปสู่สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงย่อพระกายลง ณ ที่ใกล้พระบาท แล้วถวายบังคมพระพุทธองค์ต่อจากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระเจ้าโกศลว่า “ขอถวายพระพรมหากษัตริย์ พระองค์จะเสด็จไปไหน จึงมาถึงที่นี่แต่กลางวัน”พระเจ้าโกศลกราบทูลว่า
”ข้าพระพุทธเจ้าวันนี้ หม่อมฉันกำลังตัดสินคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความลำเอียง ยากที่จะตัดสินได้บัดนี้การพิจารณาคดีได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว จึงเสด็จมายังสำนักพระองค์ “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า”ขอถวายพระพรแก่พระมหากษัตริย์ เชื่อว่าการตัดสินคดีโดยให้เสมอกัน (ไม่ลำเอียง) เป็นกุศลอย่างแท้จริง” หลังจากนั้นพระเจ้าโกศลทูลขอให้พระองค์ทรงเล่านิทานในอดีตที่ผ่านมา พระพุทธองค์จึงเล่าดังนี้คือ
ครั้งหนึ่งพระเจ้าพรหมทัต ได้เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตไดัรับพระราช ทานเครื่องบำรุงครรภ์เป็นอย่างดี เมื่อครบกำหนดก็ประสูติจากพระครรภ์มารดาโดยปลอดภัย พระองค์ได้รับขนานพระนาม (ตั้งชื่อ) ว่า”พรหมทัตกุมาร” เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษาจึงได้เสด็จไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกศิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคต จึงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติและประพฤติปฏิบัติตนโดยชอบธรรมอยู่สม่ำเสมอและ เมื่อมีการสั่งการตัดสินคดีก็มิได้ลำเอียงแต่อย่างใด ตัดสินด้วยความเที่ยงตรง เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติเป็นธรรมเช่นนี้จึงส่งผลให้พวกอำมาตย์ก็ได้ตัดสิน สำนวนคดีโดยชอบธรรมเช่นกัน เมื่อสำนวนคดีทั้งหลายได้รักการตัดสินโดยเป็นธรรม ขึ้นชื่อว่าคดีที่มีเงื่อนงำบิดพริ้วกัน จึงไม่มี ดังนั้นการถวายฎีการ้องทุกข์ที่พระลานหลวงเพื่อประโยชน์ในทางคดีจึงหมดไป พวกอำมาตย์นั่งคอยอยู่ที่ศาลวันยังค่ำก็ไม่พบผู้ใดผู้หนึ่งจะมาให้ตัดสินคดี ฎีการ้องทุกข์ก็หมดไป ศาลก็ถึงภาวะเป็นที่ร้าง พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เมื่อเราเสวยราชสมบัติอยู่โดยชอบธรรม กลับไม่มีผู้คนมาให้ตัดสินคดี ฎีกา ร้องทุกข์ก็หมด ศาลก็ถึงภาวะที่ร้าง บัดนี้ควรที่จะตรวจดูสิ่งที่ไม่เป็นคุณประโยชน์แก่ตน ครั้นรู้ว่า ชื่อว่าสิ่งนี้ไม่เป็นคุณ เป็นโทษแก่ตนก็ละเสีย แล้วประพฤติแต่สิ่งที่เป็นคุณและเป็นประโยชน์เท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์คอยสืบดูว่ามีใครบ้างไหม ที่พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่เรา ทั้งข้าทาสบริวารที่อยู่ใกล้ชิด ข้าทาสบริวารทั่ว ๆไปชาวหมู่บ้านที่อยู่รอบตัวเมืองก็ไม่พบว่ามีใครพูดสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ พระองค์เลยมีแต่การสรรเสริญในสิ่งที่พระองค์กระทำ จึงมอบหมายราชการให้พวกอำมาตย์ แล้วจึงปลอมพระองค์ไม่ให้ใครรู้จักเสด็จขึ้นราชรถพร้อมกับนายสารถีเสด็จออก จากกพระนคร เพื่อสืบดูตามชนบท แต่ก็ไม่พบใคร ๆ พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นคุณต่อพระองค์เลย จึงเสด็จกลับจากพรมแดนบ่ายพระพักตร์เข้าสู่พระนครตามถนนใหญ่
ในกาลครั้งนั้น ฝ่ายพระเจ้าโกศล ทรงพระนามว่าพัลลิกะ เสวยราชสมบัติอยู่โดยธรรม ก็ทรงแสวงหาสิ่งที่ไม่เป็นคุณ มิได้พบผู้
ที่ กล่าวถึงสิ่งที่ไม่เป็นคุณ แต่อย่างใด จึงทรงพระประสงค์จะสืบดูตามชนบทอยู่เช่นเดียวกัน และได้เสด็จถึงประเทศแห่งนั้น ท้าวเธอทั้งสองพระองค์ ได้สวนกันที่ทางเกวียน ณ ที่เนินแห่งหนึ่ง ที่ ๆ เป็นถนนแคบ รถไม่สามารถจะวิ่งสวนกันได้ จะต้องหลีกหลบอยู่คันหนึ่ง ลำดับนั้นนายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงบอกนายสารถีของพระเจ้าพาราณสีว่า ”ท่านจงหลีกรถของท่านออกไป” ฝ่ายสารถีของพระเจ้าพาราณสีก็กล่าวว่า”ท่านสารถีผู้เจริญ ท่านจงหลีกรถของท่านออกไป พระเจ้าพรหมทัตมหาราชผู้เป็นเจ้าของราชสมบัติ ณ พาราณสี ประทับนั่งบนรถคันนี้” ฝ่ายสารถีพระเจ้าพัลลิกะกล่าวว่า “ท่านสารถีผู้เจริญ พระเจ้าพัลลิกะมหาราช ผู้เป็นเจ้าของราชสมบัติ ณ โกศล ประทับนั่งบนรถนี้ ท่านจึงเอารถของท่านหลีกออกไป ให้โอกาสแก่รถของพระราชาพวกเราเถิด” สารถีพระเจ้าพาราณสีนึกในใจว่า ได้ยินว่า แม้ท่านผู้นี้ก็เป็นพระราชาเหมือนกันจะทำอย่างไรดี คิดขึ้นได้ว่า ยังมีอุบายอยู่อย่างหนึ่งตกลงใจว่า เราจักถามวัยดูแล้ว ให้รถของพระราชาผู้ทรงพระชนมายุอ่อนหลีกทาง ให้โอกาสแก่รถของพระราชาผู้ทรงพระชนมายุแก่กว่า จึงถามวัยของพระเจ้าโกศลกับนายสารถี กำหนดดูรู้ว่าทั้งสองพระองค์ครอบครองราชอาณาจักรองค์ละสามร้อยโยชน์ มีพล ทรัพย์ ยศ ชาติโคตร ตระกูล ประเทศเท่า ๆ กัน จึงคิดว่า เราจักยอมยกให้โอกาสแก่พระองค์ที่มีศีล จึงถามว่า ท่านสารถีผู้เจริญ ศีลาจารของพระราชาของพวกท่าน เป็นเช่นไร นายสารถีพระเจ้าพัลลิกะ จึงกล่าวอวดพระเกียรติคุณพระราชาของตนว่า“พระเจ้าพัลลิกะทรงขจัดคนกระด้าง ด้วยความกระด้าง ทรงชนะคนอ่อนโยนด้วยความอ่อนโยนทรงชนะคนดีด้วยความดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดีพระราชาองค์นี้เป็นเช่นนี้ สารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด”นายสารถีของพระเจ้าพาราณสีจึงกล่าวตอบ ถึงพระเกียรติคุณของพระราชาของตนว่า“พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดีทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วย คำสัตย์พระราชาองค์นี้เป็นเช่นนี้ นายสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด”เมื่อสารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวเช่น นี้แล้ว พระเจ้าพัลลิกะและสารถี ลงจากรถปลดม้าถอยรถออก ยอมให้ทางแก่พระเจ้าพาราณสีทั้งสองพระองค์เมื่อเสด็จกลับถึงพระนคร ก็ทรงทำบุญกุศลและได้ทรงบำเพ็ญทางสวรรค์ไว้ครบริบูรณ์แล้วถึงกาลสมัยสิ้นพระ ชนมายุทั้งสองพระองค์
*******************************************************************************************
จำดีกว่าจด***จำไม่หมดจดดีกว่าจำ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)